เทคโนโลยีการพัฒนาแบตเตอรี่VARTA
หลักการพื้นฐานของเทคโนโลยีสตาร์ท-สต็อป
ระบบสตาร์ท-สต็อปจะทำการดับเครื่องและสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่อัตโนมัติ เพื่อเป็นการลดการทำงานของเครื่องยนต์ในรอบเดินเบา ดังนั้นจึงสามารถช่วยลดการเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงและการปล่อยไอเสีย จึงทำให้ผู้ผลิตส่วนใหญ่เลือกติดตั้งแบตเตอรี่ VARTA® ในสายการผลิตของยานพาหนะที่มีระบบสตาร์ท-สต็อป
แบตเตอรี่ถือเป็นหัวใจหลักของเครื่องยนต์เพราะเป็นต้นกำเนิดพลังงาน ตั้งแต่การจุดระเบิดไปจนถึงการทำงานของระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์เพื่อให้ความบันเทิงบนยานพาหนะ ด้วยประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ VARTA® ทำให้มั่นใจได้ถึงพลังงานที่มีความเสถียรสำหรับการทำงานกับอุปกรณ์ต่างๆทั้งหมดในระหว่างที่ช่วงระบบสตาร์ท-สต็อปนั้นทำงาน เห็นได้ว่าแบตเตอรี่ต้องทำหน้าที่มากกว่าแค่ช่วยในการการสตาร์ทรถ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแบตเตอรี่จึงถือเป็นหัวใจสำคัญของยานพาหนะของคุณ
ในปัจจุบันรถรุ่นใหม่ส่วนมากมีฟังก์ชันสตาร์ท-สต็อป จึงเป็นเหตุผลให้เราได้คิดค้นนวัตกรรมของแบตเตอรี่ VARTA® รุ่นใหม่สองรุ่นพร้อมความสมารถในการสตาร์ท-สต็อป ซึ่งได้แก่ แบตเตอรี่ VARTA® Silver Dynamic ซึ้งใช้เทคโนโลยี AGM เหมาะสำหรับยานพาหนะที่มีระบบสตาร์ท-สต็อปขั้นสูงพร้อมด้วยระบบเบรกที่จ่ายพลังงานคืน และ VARTA® Blue Dynamic ซึ่งใช้เทคโนโลยี EFB เหมาะสำหรับยานพาหนะที่มีระบบสตาร์ท-สต็อปแบบทั่วไป
การขับเคลื่อนและการเร่งความเร็ว
ระบบการจัดการพลังงานอัจฉริยะของ อัลเทอร์เนเตอร์ จะแยกการทำหน้าที่ในระหว่างการเร่งเครื่องกับการขับขี่ในสภาวะปกติ ซึ่งหมายความว่ากำลังของเครื่องยนต์นั้นจะมีมากขึ้นสำหรับการส่งพลังงานไปที่ล้อ และอัลเทอร์เนเตอร์ จะกลับมาทำงานเต็มที่ใหม่อีกครั้ง เมื่อสถานะการชาร์จของแบตเตอรี่อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ
ข้อกำหนดของแบตเตอรี่:
แบตเตอรี่ที่ปล่อยประจุและชาร์จไฟแล้วต้องจ่ายพลังงานให้แก่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดโดยอัตโนมัติ
การเบรก
ระบบเบรกโดยจ่ายพลังงานคืนในบางส่วน ช่วยให้พลังงานจลน์ของยานพาหนะถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะถูกนำกลับมาเก็บไว้ในแบตเตอรี่
ข้อกำหนดของแบตเตอรี่:
แบตเตอรี่จำเป็นต้องรับการชาร์จอย่างรวดเร็ว อีกทั้งต้องมีความจุในการรับพลังงานที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้แบตเตอรี่ยังคงต้องสามารถทำงานได้แม้ในสภาวะที่มีประจุต่ำ
ร้านเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์นอกสถานที่
บริการเปลี่ยนถึงที่โดยไม่คิดค่าบริการ
สำรองไฟก่อนเปลี่ยนทุกครั้งพร้อมเช็คไดชาร์จ,ไดสตาร์ทและไฟรั่วให้ฟรี
สินค้าใหม่แกะกล่องใหม่ 100%
สำรองไฟก่อนเปลี่ยนแบตทุกครั้ง
เช็คไดชาร์จและเช็คไฟรั่วฟรี
แบตเตอรี่ทุกลูกรับประกัน 1 ปี
แบตเตอรี่คุณภาพได้มาตรฐาน
กดเพื่อโทรสั่งได้เลยครับ
สัญญาณบอกเหตุ แบตเตอรี่ ใกล้หมดสภาพ ต้องเปลี่ยน
เป็นอย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า “แบตเตอรี่” ถือเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งในการสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อใช้ในการเดินทางไปไหนมาไหน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมันจะมีอายุการใช้งาน 1.5 – 3 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน แต่แทนที่จะรอให้เครื่องยนต์น๊อคหมดสภาพแล้วค่อยเปลี่ยน มีวิธีสังเกตอาการที่บ่งบอกถึงสัญญาณเตือนก่อนที่แบตจะหมด ดังนี้
1. เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ จะรู้สึกว่าเครื่องไม่ค่อยมีกำลัง สตาร์ทติดยากกว่าที่เคยเป็น
2. หลังจากจอดรถดับเครื่องแล้วทิ้งไว้สักครู่ หรือดับเครื่องเสร็จแล้วสตาร์ทใหม่ทันที รถจะสตาร์ทติดยาก ต้องพยายามสตาร์ทหลายๆ ครั้งถึงจะติด
3. ไฟส่องสว่างด้านหน้ารถยนต์ไม่ส่องสว่างเท่าเดิม
4. ระบบล็อคประตู และการทำงานของกระจกไฟฟ้าช้าลงกว่าปกติ อืดๆ ไม่เร็วเหมือนเดิม
5. แบตเตอรี่แบบเปียก น้ำกลั่นหมดเร็วกว่าเดิม ต้องเติมถี่ และบ่อยขึ้น
6. ถึงขั้นต้องพ่วงแบตฯ เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ในการสตาร์ทรถยนต์ เพราะสตาร์ทรถไม่ติดเลย
สุดท้าย ผู้ขับขี่เองก็ต้องหมั่นเช็คสภาพรถก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย และเมื่อไหร่ที่เกิดอาการเหล่านี้ขึ้น จะได้รู้ว่า นีเป็น 6 สัญญาณเตือนให้คุณเตรียมตัวเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้เลย
กดเพื่อโทรสั่งได้เลยครับ
การรักษาแบตเตอรี่ให้ใช้ได้นานๆและให้ใช้ให้ได้มีประสิทธิภาพ
1.ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อรถไม่วิ่ง เมื่อรถไม่วิ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าจะดึงพลังงานจากแบตเตอรี่โดยตรง ถอดปลั๊กโทรศัพท์มือถือเครื่องนำทาง GPS หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่เสียบเข้ากับพอร์ตชาร์จเมื่อคุณปิดรถ อย่าเสียบปลั๊กกลับเข้าไปจนกว่าคุณจะสตาร์ทรถอีกครั้ง อย่าเสียบปลั๊กทิ้งไว้ในขณะที่รถดับ ซึ่งอาจทำให้พลังงานหมดและส่งผลให้แบตเตอรี่หมด
2.ปิดไฟหน้าและไฟภายในรถเมื่อดับเครื่องยนต์ เช่นเดียวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าไฟเหล่านี้จะดึงพลังงานจากแบตเตอรี่โดยตรงเมื่อรถไม่วิ่ง เมื่อคุณปิดรถแล้วให้ปิดไฟทั้งหมดที่เปิดอยู่ อย่าสตาร์ทอีกจนกว่าคุณจะสตาร์ทเครื่องยนต์
ตรวจสอบอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไฟหน้าของคุณดับอยู่ก่อนที่จะเดินออกไปจากรถ
3.ขับรถเป็นประจำเพื่อให้แบตเตอรี่ชาร์จอยู่เสมอ ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์เมื่อคุณขับรถดังนั้นอย่าทิ้งรถไว้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ในแต่ละครั้ง ขับรถอย่างน้อย 20 นาทีสัปดาห์ละครั้งเพื่อให้แบตเตอรี่มีเวลาเพียงพอในการชาร์จไฟ หากคุณขับรถไม่ได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามให้ปล่อยให้รถวิ่งเป็นเวลา 20 นาทีโดยไม่ต้องขยับ ไม่ใช่ทางออกที่ดี แต่จะช่วยให้แบตเตอรี่สามารถชาร์จไฟได้
4.ชาร์จแบตเตอรี่ให้อยู่ที่ 12.6 โวลต์ นี่คือแรงดันไฟฟ้าที่เหมาะสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ หากแบตเตอรี่ต่ำกว่าระดับนี้ประสิทธิภาพและอายุการใช้งานจะลดลง รับโวลต์มิเตอร์และต่อสายขั้วบวก (สีแดง) เข้ากับขั้วบวกของแบตเตอรี่และขั้วลบ (สีดำ) เข้ากับขั้วลบ กดค้างไว้ที่นั่นสองสามวินาทีแล้วรอให้มิเตอร์อ่านค่า หากประจุต่ำกว่า 12.6 โวลต์ให้เชื่อมต่อเครื่องชาร์จแบตเตอรี่โดยติดขั้วลบเข้ากับขั้วลบก่อนจากนั้นเชื่อมต่อขั้วบวกเข้ากับขั้วบวก ชาร์จแบตเตอรี่เป็น 12.6 โวลต์สวมถุงมือยางทุกครั้งเมื่อทำการทดสอบและชาร์จแบตเตอรี่
ทดสอบแบตเตอรี่ทุก 6 เดือน ทำอย่างน้อยหนึ่งครั้งเมื่ออากาศหนาวเย็นเนื่องจากอุณหภูมิที่ต่ำจะทำให้การชาร์จแบตเตอรี่ลดลง
5.ติดที่ชาร์จแบบหยดเข้ากับแบตเตอรี่หากคุณไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน ที่ชาร์จแบบหยดเกี่ยวเข้ากับเต้าเสียบและชาร์จแบตเตอรี่ให้คงที่ ซึ่งจะช่วยให้แบตเตอรี่มีประจุที่ถูกต้องแม้ว่าคุณจะไม่ได้ขับรถก็ตาม เป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์สำหรับรถยนต์ที่ไม่ได้ขับบ่อย เชื่อมต่อเครื่องชาร์จแบบหยดแบบเดียวกับที่คุณสามารถเชื่อมต่อเครื่องชาร์จปกติ เกี่ยวขั้วลบเข้ากับขั้วลบก่อนจากนั้นเชื่อมต่อขั้วบวก จากนั้นเสียบที่ชาร์จทิ้งไว้จนกว่าคุณจะขับรถอีกครั้ง ที่ชาร์จแบบ Trickle เป็นที่นิยมในหมู่เจ้าของรถหายากหรือของสะสมที่ไม่ได้ขับบ่อยควรใช้ที่ชาร์จแบบหยดเมื่อรถอยู่ในโรงรถ เพื่อป้องกันไม่ให้เศษขยะเข้าไปใต้ฝากระโปรง
กดเพื่อโทรสั่งได้เลยครับ