- ใช้ตะกั่วแคลเซียม (CA/CA) และดีบุกผสมทำแผ่นธาตุเพื่อไม่ให้กินน้ำกลั่นและทนต่อการกัดกร่อนสูงนำกระแสไฟฟ้าได้ดี
- ใช้กรดกำมะถันที่มีความถ่วงจำเพาะที่สูงกว่าประมาณ1.260 – 1.280 SP.GR (STD) จึงเก็บและจ่ายกระแสไฟได้ดีมีสมรรถนะสูง
- ทำการเติมกรดและชาร์จไฟพร้อมสมบูรณ์ 100% จากโรงงานใช้งานได้ทันทีไม่ต้องเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน (Free Maintenance)
- เก็บสำรองไฟไว้สตาร์ทเครื่องยนต์ได้นาน แม้ไม่ค่อยได้ใช้รถยนต์
- แผ่นกั้นเป็นชนิดซอง (PE Separator) ซึ่งทำจากพลาสติก PEที่ทันสมัย มีคุณสมบัติทนต่อการฉีกขาดสูงกว่าแผ่นกั้นชนิดใยแก้ว ช่วยป้องกันการหลุดร่วงฝุ่นผงของตะกั่ว-เคมีและจะช่วยถนอมโครงสร้างของแผ่นธาตุให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าแบตเตอรี่รุ่นธรรมดาทั่วไป
- ที่จุกปิดมี Frame Arresterโดยใช้ Caramic Filter ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำกลั่นและป้องกันการระเบิดของแบตเตอรี่ได้
- มีสาร Sulfate Stop ช่วยป้องกันการเกิดซัลเฟตทำให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้น
- แบตเตอรี่ MF จะคายกระแสไฟในตัวเองประมาณ 20% ต่อ 1 เดือน และขึ้นอยู่กับสภาวะอุณหภูมิถ้าเก็บแบตเตอรี่ MF ไว้นานเกิน 4 เดือนรถจะสตาร์ทติดยาก เพื่อให้แบตเตอรี่พร้อมใช้งานควรนำแบตเตอรี่มาประจุไฟให้สมบูรณ์ก่อนใช้งานเสมอ (ปลุกให้ตื่นก่อนใช้งาน)
หมายเหตุ ท่านสามารถเติมน้ำกลั่นลงในแบตเตอรี่ MF ได้เมื่อต้องการ ปีละ 1 ครั้งหรือถ้าระดับน้ำยา Electrolyte ลดต่ำกว่าระดับ Lower
- ใช้ตะกั่วพลวงและซิลิเนียมผลิตแผ่นธาตุ บวก-ลบ
- เป็นแผ่นอัดแห้งซึ่งประจุไฟฟ้าไว้แล้ว ประมาณ 70%ของความจุ เมื่อเติมกรดเข้าไปในแบตเตอรี่ แล้วนำไปชาร์จ 2-4 ชั่วโมงจะได้กระแสไฟที่สมบูรณ์ 100 %
- ต้องดูแลรักษาระดับน้ำกลั่นอยู่เสมอ (ทุก 20วัน หรือ 3,000 กิโลเมตร ต่อ 1 ครั้ง หรือตามสภาวะการใช้งาน)
- เมื่อถูกจ่ายกระแสออกจนหมด (DOD) จะมีค่า IR สูง และจะประจุไฟเข้าได้ยากกว่า Battery MF เล็กน้อย
- ใช้กรดกำมะถันที่มีความถ่วงจำเพาะที่ต่ำกว่าประมาณ 1.240 – 1.260 (STD)
- มีอายุการเก็บรักษาได้นานกว่า Battery MF เพราะเป็นแบตเตอรี่แห้งยังไม่ได้เติมกรดถ้ายังไม่มีการเปิดใช้งานจะสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานถึง 5 ปีโดยไม่กระทบกับคุณภาพ
- มีราคาต่ำกว่าแบตเตอรี่ MF แต่ประสิทธิภาพ และอายุการใช้งานใกล้เคียงกันกับแบตเตอรี่ MF
- เหมาะสำหรับรถที่ใช้งานหนักและอุณหภูมิสูง
- แบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่น จะคายกระแสไฟในตัวเองประมาณ 0.5-1% ต่อ1วัน หรือ 30% ต่อ 1 เดือน และขึ้นกับสภาวะอุณหภูมิ (หมายความถึงแบตเตอรี่ที่เติมน้ำกรดและชาร์จกระแสไฟแล้ว)
-
ร้านเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์นอกสถานที่
บริการเปลี่ยนถึงที่โดยไม่คิดค่าบริการ
สำรองไฟก่อนเปลี่ยนทุกครั้งพร้อมเช็คไดชาร์จ,ไดสตาร์ทและไฟรั่วให้ฟรี
สินค้าใหม่แกะกล่องใหม่ 100%
สำรองไฟก่อนเปลี่ยนแบตทุกครั้งเช็คไดชาร์จและเช็คไฟรั่วฟรี
แบตเตอรี่ทุกลูกรับประกัน 1 ปี
แบตเตอรี่คุณภาพได้มาตรฐานกดเพื่อโทรสั่งได้เลยครับ
สัญญาณบอกเหตุ แบตเตอรี่ ใกล้หมดสภาพ ต้องเปลี่ยน
เป็นอย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า “แบตเตอรี่” ถือเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งในการสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อใช้ในการเดินทางไปไหนมาไหน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมันจะมีอายุการใช้งาน 1.5 – 3 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน แต่แทนที่จะรอให้เครื่องยนต์น๊อคหมดสภาพแล้วค่อยเปลี่ยน มีวิธีสังเกตอาการที่บ่งบอกถึงสัญญาณเตือนก่อนที่แบตจะหมด ดังนี้
1. เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ จะรู้สึกว่าเครื่องไม่ค่อยมีกำลัง สตาร์ทติดยากกว่าที่เคยเป็น
2. หลังจากจอดรถดับเครื่องแล้วทิ้งไว้สักครู่ หรือดับเครื่องเสร็จแล้วสตาร์ทใหม่ทันที รถจะสตาร์ทติดยาก ต้องพยายามสตาร์ทหลายๆ ครั้งถึงจะติด
3. ไฟส่องสว่างด้านหน้ารถยนต์ไม่ส่องสว่างเท่าเดิม
4. ระบบล็อคประตู และการทำงานของกระจกไฟฟ้าช้าลงกว่าปกติ อืดๆ ไม่เร็วเหมือนเดิม
5. แบตเตอรี่แบบเปียก น้ำกลั่นหมดเร็วกว่าเดิม ต้องเติมถี่ และบ่อยขึ้น
6. ถึงขั้นต้องพ่วงแบตฯ เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ในการสตาร์ทรถยนต์ เพราะสตาร์ทรถไม่ติดเลยสุดท้าย ผู้ขับขี่เองก็ต้องหมั่นเช็คสภาพรถก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย และเมื่อไหร่ที่เกิดอาการเหล่านี้ขึ้น จะได้รู้ว่า นีเป็น 6 สัญญาณเตือนให้คุณเตรียมตัวเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้เลย
กดเพื่อโทรสั่งได้เลยครับ
การรักษาแบตเตอรี่ให้ใช้ได้นานๆและให้ใช้ให้ได้มีประสิทธิภาพ
1.ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อรถไม่วิ่ง เมื่อรถไม่วิ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าจะดึงพลังงานจากแบตเตอรี่โดยตรง ถอดปลั๊กโทรศัพท์มือถือเครื่องนำทาง GPS หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่เสียบเข้ากับพอร์ตชาร์จเมื่อคุณปิดรถ อย่าเสียบปลั๊กกลับเข้าไปจนกว่าคุณจะสตาร์ทรถอีกครั้ง อย่าเสียบปลั๊กทิ้งไว้ในขณะที่รถดับ ซึ่งอาจทำให้พลังงานหมดและส่งผลให้แบตเตอรี่หมด
2.ปิดไฟหน้าและไฟภายในรถเมื่อดับเครื่องยนต์ เช่นเดียวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าไฟเหล่านี้จะดึงพลังงานจากแบตเตอรี่โดยตรงเมื่อรถไม่วิ่ง เมื่อคุณปิดรถแล้วให้ปิดไฟทั้งหมดที่เปิดอยู่ อย่าสตาร์ทอีกจนกว่าคุณจะสตาร์ทเครื่องยนต์
ตรวจสอบอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไฟหน้าของคุณดับอยู่ก่อนที่จะเดินออกไปจากรถ3.ขับรถเป็นประจำเพื่อให้แบตเตอรี่ชาร์จอยู่เสมอ ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์เมื่อคุณขับรถดังนั้นอย่าทิ้งรถไว้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ในแต่ละครั้ง ขับรถอย่างน้อย 20 นาทีสัปดาห์ละครั้งเพื่อให้แบตเตอรี่มีเวลาเพียงพอในการชาร์จไฟ หากคุณขับรถไม่ได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามให้ปล่อยให้รถวิ่งเป็นเวลา 20 นาทีโดยไม่ต้องขยับ ไม่ใช่ทางออกที่ดี แต่จะช่วยให้แบตเตอรี่สามารถชาร์จไฟได้
4.ชาร์จแบตเตอรี่ให้อยู่ที่ 12.6 โวลต์ นี่คือแรงดันไฟฟ้าที่เหมาะสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ หากแบตเตอรี่ต่ำกว่าระดับนี้ประสิทธิภาพและอายุการใช้งานจะลดลง รับโวลต์มิเตอร์และต่อสายขั้วบวก (สีแดง) เข้ากับขั้วบวกของแบตเตอรี่และขั้วลบ (สีดำ) เข้ากับขั้วลบ กดค้างไว้ที่นั่นสองสามวินาทีแล้วรอให้มิเตอร์อ่านค่า หากประจุต่ำกว่า 12.6 โวลต์ให้เชื่อมต่อเครื่องชาร์จแบตเตอรี่โดยติดขั้วลบเข้ากับขั้วลบก่อนจากนั้นเชื่อมต่อขั้วบวกเข้ากับขั้วบวก ชาร์จแบตเตอรี่เป็น 12.6 โวลต์สวมถุงมือยางทุกครั้งเมื่อทำการทดสอบและชาร์จแบตเตอรี่
ทดสอบแบตเตอรี่ทุก 6 เดือน ทำอย่างน้อยหนึ่งครั้งเมื่ออากาศหนาวเย็นเนื่องจากอุณหภูมิที่ต่ำจะทำให้การชาร์จแบตเตอรี่ลดลง5.ติดที่ชาร์จแบบหยดเข้ากับแบตเตอรี่หากคุณไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน ที่ชาร์จแบบหยดเกี่ยวเข้ากับเต้าเสียบและชาร์จแบตเตอรี่ให้คงที่ ซึ่งจะช่วยให้แบตเตอรี่มีประจุที่ถูกต้องแม้ว่าคุณจะไม่ได้ขับรถก็ตาม เป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์สำหรับรถยนต์ที่ไม่ได้ขับบ่อย เชื่อมต่อเครื่องชาร์จแบบหยดแบบเดียวกับที่คุณสามารถเชื่อมต่อเครื่องชาร์จปกติ เกี่ยวขั้วลบเข้ากับขั้วลบก่อนจากนั้นเชื่อมต่อขั้วบวก จากนั้นเสียบที่ชาร์จทิ้งไว้จนกว่าคุณจะขับรถอีกครั้ง ที่ชาร์จแบบ Trickle เป็นที่นิยมในหมู่เจ้าของรถหายากหรือของสะสมที่ไม่ได้ขับบ่อยควรใช้ที่ชาร์จแบบหยดเมื่อรถอยู่ในโรงรถ เพื่อป้องกันไม่ให้เศษขยะเข้าไปใต้ฝากระโปรง
กดเพื่อโทรสั่งได้เลยครับ